วันจันทร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2557



Vintage Swiss Army Canvas 
 Leather Rucksack


  • Original Swiss Army Canvas & Leather Vintage Military RucksackThis Swiss Army vintage pack from the 1950′s is the oldest pack in our “Recon” range – an absolute
    wonder of Swiss design and craftsmanship in a truly beautiful but functional and robust mid-size rucksack.



Featuring thick full-grain leather straps, metal buckles, a roll-top closure, thick leather base and large front pocket these 1940′s and 50′s packs in the unusual dark grey-green canvas colour of the Swiss army of the time are now very rare - but they are absolutely stunning once reconditioned.

Although there are some broken down examples in the supplies we find (we repurpose or repair any that we can) those that are still intact are able to be fully refurbished into near-perfect vintage condition even after 50-plus years of use – but make no mistake it’s the rucksack itself which must take the credit for this longevity: the quality and craftsmanship is incredible, they are made of a tough but incredibly lightweight canvas, the stitching uses sinew for strength in places, the leather work is absolutely outstanding and the overall design so perfect for it’s use that they are able to survive the years so well. Even at 60 or 70 years old these are probably only half way through their useful life, which is fruit for thought in our throwaway society. Simply an outstanding and beautiful piece of history – that still functions as well today as it would have on it’s first outing, up in the high Alps of Switzerland.




Capacity: approx. 35-litres (expandable to 50 using the roll-top.)


Dimensions: Height: 60cms; Width: 35 cms; Depth: 20cms.





Swiss Army Original Canvas & Leather Vintage 1950's Rucksack - Leather Harness Detail & Date Stamp

Swiss Army Original Canvas & Leather Vintage 1950's Rucksack - Side Profile View

การฟอกหนัง สารเทนนิน







การฟอกหนัง ตามหลักในโลกนี้ มี 2 วิธีการ คือ     



  • ฟอกแบบใช้สารเคมี.
  • แบบโบราณ ใช้สารจากธรรมชาติ.  หนังฟอกฝาดธรรมชาติ

 หนังฟอกฝาดธรรมชาติ



  • (การฟอกแบบนี้ยุ่งยากส่วนมากจะต้องแบร์นที่ใหญ่ๆ และมีประวัติยาวนานจะทำกัน

อย่างในแคว้นทัสคานี่ อิตาลี ก็ยังมีโรงฟอกแบบนี้อยู่ อย่างของ

Fendi อายุขำๆ 140 ปี ปัจจุบันโรงฟอกนี้ยังตั้งอยู่ในแคว้นทัสคานี่ อิตาลีอย่างยั่งยืน และ เปรียบเหมือนพิพิธภัณฑ์แห่งโครงสร้างเครื่องหนังจาก อิตาลี )



  • หนัง ฟอกฝาด ตามแบบวิธีโบราณ หรือเรียกว่า (Vegetable Tanning)

การฟอกประเภทนี้จะนำสารสกัดจากพืช ประเภทแทนนินซึ่งสกัด

ได้จากเปลือกแก่นหรือส่วนอื่นๆที่มีสารชนิดนี้เข้มข้น


สารเทนนินมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย  ปัจจุบันมนุษย์ใช้รักษา
อาการลำไส้อักแสบ หรือ ปัจจุบันใช้รักษามะเร็งลำไส้
ได้ด้วย  มนุษย์และสัตว์รู้จักใช้สารนี้มาก่อนอารยะธรรมจะเกิดขึ้นอย่างสัตว์ที่ถ่ายเป็นมูกเลือด
เพราะสัตว์สมัยนี้หาหญ้ากินได้อยาก สัตว์เค้าก็มีย่าถ่าย ยารักษาอาการป่วยของเค้าเช่นกัน
สารเทนนินจะอยู่ในพืชเกือบทุกชนิด อย่าในมะขวิดก็มีสารเทนนินเช่นกันคนไทยนิยมรับประทานเพื่อแก้โรคลำใส้อักเสบ  แต่มีมากในพืชที่มีรสฝาดคือพ วก ยูคาลิปตัส ควีบราโค และอื่นๆ จริงๆใน
ประเทศไทยพวกพืชตระกูลฝาด ก็มีเยอะหากคนไทยฟอกแบบไทยเราจะได้หนังที่หอมแบบไทยๆ ต่างชาติคงทึ่ง
และเราไม่ต้องซื้อหนังคุณภาพสูงๆจากอิตาลี และ ไม่ต้องทนกับสารเคมี จากหนังราคาถูกๆ

เพิ่มเติม

...สารเทนนิน มีสถานะเป็นกรดอ่อน รสฝาด   จะอยู่ในพืชเกือบทุกชนิด แต่มีมากในพืชที่มีรสฝาดคือพวก ยูคาลิปตัส ควีบราโค และอื่นๆ 

จริงๆใน ประเทศไทยพวกพืชตระกูลฝาด ของไทยอย่างเช่น มะขวิด พืชไทยๆแต่เป็นของอินเดีย แต่เดิม ไม่มีปลูกนำเข้ามาสมัยรัชกาลที่ 5 

อย่างพืชพวก  องุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมล็ด และ เปลือก , ใบชา, ใบมันสำปะหลัง, 

ใบสบู่ดำ, กาแฟ ข้าวโพดข้าวฟ่าง ถั่ว  เปลือกเงาะ เปลือกมังคุด กล้วยผลมะยม แครน

เบอร์รี่


  ก็มีเยอะหากคนไทยฟอกแบบไทยเราจะได้หนังที่หอมแบบไทยๆ ต่างชาติคงทึ่ง

และเราไม่ต้องซื้อหนังคุณภาพสูงๆจากอิตาลี และ ไม่ต้องทนกับสารเคมี จากหนังราคาถูกๆ

ประโยชน์ ของสารเทนนิน


1. ฟอกหนัง

2.ย้อมผ้า

3.บำบัดน้ำเสีย

4.ยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์

5.ป้องกันแมลง

6.ปุ๋ย

7.กาว

8.ยารักษาโรค

9.แก้ท้องเสีย

มีประโยชน์ก็ย่อมมีโทษเช่นกัน 
แทนนินมีฤทธิ์ในการยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ในกระเพาะอาหาร หากกินเข้าไปมากจะทำให้รู้สึกท้องอืด หรือท้องผูก มีอาการเหมือนกับการดื่มน้ำชา.











ขั้นตอนการผลิต

การฟอกแบบอนุกรม โรงฟอกหนังในอิตาลี


เมื่อเราได้สารเหล่านี้มาแล้วจะทำการหมักในถังไม้ ปั่นไปเรื่อยๆ หรือสมัยใหม่อาจทำในบ่อคอนกรีตที่ต่อ

แบบอนุกรม (เรียงๆ กันไป)  เพื่อการชะล้างจากบ่อหนึ่งๆไปสู่อีกบ่อหนึ่ง ทั้งนี้น้ำที่ใช้ฟอก
แล้ว จะย่อยสลายไปสามารถนำกลับมาใช้ได้อีก สารที่ใช้ฟอกนั้นเป็นสารธรรมชาติ ไม่ทำลายแหล่งน้ำ
....ดังนั้นในอิตาลี การฟอกแบบสารเคมีไม่มีแล้วครับ หนังที่มาจากประเทศนี้จะตีตราเป็นรูปคล้ายๆโล่
มีอักษร 2 แถว น่าจะเขียนว่า Uorio และสัญลักษณ์ที่ผลิต และเป็นสินค้าควบคุมที่รัฐหรือองค์กรเครื่องหนัง
ของอิตาลี เป็นผู้ดูแล  เนื่องจากมาตรฐานและสารเคมีเป็นพิษกับร่างกาย
......หนังชั้นดีหรือไม่ อยู่ที่การฟอกไม่ใช่หนังของสัตว์ว่าเป็นสัตว์อะไร (เหมือนอย่างอาหาร ต่อให้เนื้อจากป่าชั้นดี
ถ้าผู้ปรุงไม่เป็นก็เสียของ) ใช้ไปแล้วไม่ทำให้แพ้ เป็นมิตรกับร่างกาย กลิ่นหนังที่ได้จะเป็นกลิ่นธรรมชาติ
จะพบว่าแบรนด ระดับ ชาแนล , แอเมส , หลุยส์ วิตตอง หนังเค้าจะหอมมากๆ

เค้าหอมเพราะสารเทนนินที่เค้าใช้นี้นี่เองครับ.....





...หนังตัวนี้ เป็นหนัง ฟอกฝาด ตามแบบวิธีโบราณ หรือเรียกว่า (Vegetable Tanning)
การฟอกประเภทนี้จะนำสารสกัดจากพืช ประเภทแทนนินซึ่งสกัด
ได้จากเปลือกแก่นหรือส่วนอื่นๆที่มีสารชนิดนี้เข้มข้น




  • สารเทนนินมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย  ปัจจุบันมนุษย์ใช้รักษา
อาการลำไส้อักแสบ หรือ ปัจจุบันใช้รักษามะเร็งลำไส้
ได้ด้วย  มนุษย์และสัตว์รู้จักใช้สารนี้มาก่อนอารยะธรรมจะเกิดขึ้นอย่างสัตว์ที่ถ่ายเป็นมูกเลือด
เพราะสัตว์สมัยนี้หาหญ้ากินได้อยาก สัตว์เค้าก็มีย่าถ่าย ยารักษาอาการป่วยของเค้าเช่นกัน
สารเทนนินจะอยู่ในพืชเกือบทุกชนิด อย่าในมะขวิดก็มีสารเทนนินเช่นกันคนไทยนิยมรับประทานเพื่อแก้โรคลำใส้อักเสบ  แต่มีมากในพืชที่มีรสฝาดคือพ วก ยูคาลิปตัส ควีบราโค และอื่นๆ จริงๆใน
ประเทศไทยพวกพืชตระกูลฝาด ก็มีเยอะหากคนไทยฟอกแบบไทยเราจะได้หนังที่หอมแบบไทยๆ ต่างชาติคงทึ่ง
และเราไม่ต้องซื้อหนังคุณภาพสูงๆจากอิตาลี และ ไม่ต้องทนกับสารเคมี จากหนังราคาถูกๆ


  • ขั้นตอนการผลิต

เมื่อเราได้สารเหล่านี้มาแล้วจะทำการหมักในถังไม้ ปั่นไปเรื่อยๆ หรือสมัยใหม่อาจทำในบ่อคอนกรีตที่ต่อ
แบบอนุกรม (เรียงๆ กันไป)  เพื่อการชะล้างจากบ่อหนึ่งๆไปสู่อีกบ่อหนึ่ง ทั้งนี้น้ำที่ใช้ฟอก
แล้ว จะย่อยสลายไปสามารถนำกลับมาใช้ได้อีก สารที่ใช้ฟอกนั้นเป็นสารธรรมชาติ ไม่ทำลายแหล่งน้ำ
....ดังนั้นในอิตาลี การฟอกแบบสารเคมีไม่มีแล้วครับ หนังที่มาจากประเทศนี้จะตีตราเป็นรูปคล้ายๆโล่
มีอักษร 2 แถว น่าจะเขียนว่า Uorio และสัญลักษณ์ที่ผลิต และเป็นสินค้าควบคุมที่รัฐหรือองค์กรเครื่องหนัง
ของอิตาลี เป็นผู้ดูแล  เนื่องจากมาตรฐานและสารเคมีเป็นพิษกับร่างกาย
......หนังชั้นดีหรือไม่ อยู่ที่การฟอกไม่ใช่หนังของสัตว์ว่าเป็นสัตว์อะไร (เหมือนอย่างอาหาร ต่อให้เนื้อจากป่าชั้นดี
ถ้าผู้ปรุงไม่เป็นก็เสียของ) ใช้ไปแล้วไม่ทำให้แพ้ เป็นมิตรกับร่างกาย กลิ่นหนังที่ได้จะเป็นกลิ่นธรรมชาติ
จะพบว่าแบรนด ระดับ ชาแนล , แอเมส , หลุยส์ วิตตอง หนังเค้าจะหอมมากๆ
เค้าหอมเพราะสารเทนนินที่เค้าใช้นี้นี่เองครับ.....


  • ฟอกฝาด ตามแบบวิธีโบราณ หรือเรียกว่า (Vegetable Tanning)
การฟอกประเภทนี้จะนำสารสกัดจากพืช ประเภทแทนนินซึ่งสกัด
ได้จากเปลือกแก่นหรือส่วนอื่นๆที่มีสารชนิดนี้เข้มข้น






























Vintage Denim History


vintage denim History

I thought I would bump up this post so our newer readers can learn about the history of denim.Isn’t denim just the most amazing fabric out there? It’s versatile, it’s tough, it’s durable, it’s easy to work with, it’s fashionable, it’s warm, the list is endless! Denim is a huge component in the wonderful world of fashion. It’s a staple garment that everyone owns. Denim started out being worn by workers, a very long time ago due to it’s durability and it’s tough texture. Do you wonder where exactly denim comes from? Well keep reading! I have put together an article telling you all about where the gorgeous fabric came from and how it has evolved throughout the years!











 Where did the name Denim come from? The word comes from the name of a sturdy fabric called serge, originally made in Nîmes, France, by the Andre family. Denim was originally called serge de Nîmes, it was then soon shortened to Denim.

What exactly is Denim and how is it made? Denim is a rugged cotton twill textile, in which the weft passes under two or more warp fibers. This produces the familiar diagonal ribbing identifiable on the reverse of the fabric, which distinguishes denim from cotton duck. It is a twill-weave woven fabric that uses different colors for the warp and weft. One color is predominant on the fabric surface. Because of this twill weave, it means the fabric is very strong.
What was Denim first used for? Denim was originally used by workers. They wore denim clothes because of it’s durability, it was extremely strong and perfect for their daily jobs, it didn’t wear out easily making it a good fabric for the long run.
How has Denim evolved throughout the years? This is a very important question, one that explains so much about why we wear denim today. Without the history behind denim, we will wonder forever how it became so famous and such a key piece of clothing.
In the 1800’s American gold miners wanted clothes that were strong and did not tear easily. To meet this demand from the miners, a man called Leob Strauss started a wholesale business, supplying clothes to people who required it. Leob and a Nevada tailor joined forces to patent an idea the tailor had for putting rivets on stress points of workman’s waist high overalls, commonly known as jeans. Strauss later changed his name from the rather plain Leob to the extremely recognisable Levi, this is when the brand Levi Strauss was created and is still extremely successful today.



  • The 1930′s Cowboys often wore jeans in the movies. This made jeans become very popular, as you know how much of an influence clothing in the movies has on every day wear. This lead to a huge increase in people wanting to purchase jeans.
During the 1940′s fewer jeans were made due to World War 2, but American soldiers did introduce them to the world by wearing them when they were off duty as a casual, comfy item of clothing. After the war, rival companies, like Wrangler and Lee, began to compete with Levi’s for a share of the international market.
In the 1950′s Denim became very popular with young people. It was the symbol of the teenage rebellion in TV programmes and movies. James Dean, in the 1955 film Rebel Without a Cause, was a symbol of this. Some schools in the US went so far as to ban students from wearing denim on the premises!
In the 1960′s and 70′s manufacturers started to make different styles of jeans to match the 60′s fashions which included embroidered jeans, painted jeans, psychedelic jeans etc, these were a huge part of the fashion and culture. Think of the 70′s flares with platform shoes, everyone today remembers the 70′s fashion for this, even if like myself, you were not even born then! In many non-western countries, jeans became a symbol of ‘western decadence’ which meant they were very hard to get.
In the 1980′s jeans became a very high fashion clothing. Famous fashion designers like Gucci started making jeans, with their own labels on them. This meant jeans had lost their appeal as a workers fabric now and were classed as a very fashionable item of clothing to own. Because high fashion designers like Gucci had taken jeans on, this meant that jean sales started to rocket, everyone who was anyone had to own them. More and more different types and styles of jeans were created, the flares were dropped and in came the super skinny jeans, acid washes and little Denim jackets. Denim really was taking the fashion industry by storm!


What happened in the 1990′s? Although denim is never completely out of style, it certainly goes out of “fashion” from time to time. The 1990′s youth market wasn’t particularly interested in 501′s and other traditional jeans styles, mainly because their parents: the “generation born in blue” were still wearing them. No teenager in their right mind would be caught dead in anything their parents are wearing, this meant the 1990′s youth turned to other fabrics and styles like cargo pants, khakis and branded sportswear. Since I was born in the late 80′s I definitely can relate to this. Not very many people were wearing jeans when I grew up in the 90′s.
Denim was still in vogue, but it had to be in different finishes, new cuts, shapes, styles, or in the form of aged, authentic, vintage jeans, discovered in markets, and second-hand stores, not conventional jeans stores. Levi Strauss & Co., the No.1 producer of jeans, closed 11 factories throughout the 1990′s due to the sudden decrease in want for their product.
Then what happened during the year 2000 and still is today? Jeans made a huge come back on the catwalk with big name designers like Chanel, Dior, Chloe and Versace adding them to their summer ’99 collections. Jeans were back in fashion! Was it risky for these designers to incorporate jeans back into fashion after the 90′s? It probably was, but I am very thankful they did! Jeans today are the most worn item of clothing ever!


  • We are over half way through the year 2009 and I can’t believe how much progress denim has made! Every single brand almost has a denim line. Not just designers like Chanel and Dior, other companies have started out purely for jeans, Diesel, Rock & Republic, 7 For All Mankind, True Religion, Nudie, Paige Premium, J Brand… The list is endless! Every year so many new faces in denim are appearing. Current/Elliott are a wonderful example, they created their brand purely for denim and introduced the boyfriend fit back into our lives!






























Now articles of clothing such as dresses, shirts, shorts, skirts, coats, jackets and even leggings are produced in Denim. With all of these Denim brands in the market, I think it’s safe to say Denim will not be going anywhere any time soon! It’s here to stay! We are now obsessed with finding the perfect fit and the perfect jean, brands are trying their hardest to accomplish this task!
Denim trends also come back around! Think right now, the flared leg jeans are coming back in fashion as is the 80′s acid wash trend. As the years progress and the style changes, like everything in fashion, it repeats itself. Maybe in about 20 years time the boyfriend jean will be back in fashion!
Now that Denim is such a major part of our lives, many of us out there, like myself, love to create the fading effect and worn in look ourselves! This is where raw denim comes in to play! Raw, unwashed denim, which means we can create our own fades and our own look just by wearing them! You can see our HonestForum members raw denim and how they have progressed and faded through wear here. There are so many types of Denim: Rigid denim which is just 100% cotton, stretch Denim either containing elastane or lycra, Selvage Denim which has stitching on the leg seams inside, not leaving them uncut with raw edges, and more. There are also so many cuts: skinny, straight, bootcut, flare, capri, boyfriend, carrot fit, bell bottoms… Isn’t Denim amazing? I could talk about it forever!




































































































วันศุกร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2557

กิเดียน ซุนด์แบกด์ ผู้ผลิต Zipper

 


  •   กิเดียน ซุนด์แบกด์ (Gideon Sundback) หรือมีชื่อเต็มๆว่า Otto Fredrik Gideon Sundback เป็นวิศวกรไฟฟ้าชาวสวีเดน-อเมริกัน

เกิดเมื่อวันที่ 24 เมษายน 1880 และเสียชีวิตลงในวันที่ 21 มิถุนายน 1954 รวมอายุได้ 74 ปี
    Gideon Sundback (April 24, 1880 – June 21, 1954) was a Swedish-American electrical engineer, who is most commonly associated with his work in the development of the zipper.



  •  ซิป ( Zipper ) เป็นสิ่งประดิษฐ์อีกชนิดหนึ่งที่มีประโยชน์อย่างอเนกประสงค์ และใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วโลกในปัจจุบัน นักประดิษฐ์ชาวชิคาโกชื่อ วิทคอมบ์ จัดสัน ( Whitcom Judson ) เป็นผู้ประดิษฐ์ซิปชนิดแรกขึ้นมา และนำออกเผยแพร่เป็นครั้งแรกที่ Chicago Worlds Fair ปี ค.ศ. 1893 แต่ไม่ได้รับการต้อนรับจากผู้คนนัก คือ ขายได้น้อย เพราะซิปติดง่าย ทำงานไม่คล่องตัว





  • สองทศวรรษต่อมา กิเดียน ซุนด์แบกด์ ได้ปรับปรุงซิปให้ใช้งานได้ดีขึ้น ในช่วงระหว่างปี 1906-1914 ทำให้ซิปได้รับความนิยมกว้างขวางขึ้น ซุนด์แบกด์ได้พัฒนา ซิปจากไอเดียขอเกี่ยวแบบรูดได้ของ "Judson C-Curity Fastener" โดยเขาพบคำตอบในการทำให้ "ซิป" สามารถเพิ่มจำนวนของขอเกี่ยวที่เป็นกลไกสำคัญ เพื่อทำให้ซิปที่ได้มีความยาวเพิ่มขึ้นจาก 4 นิ้วเป็น 10 - 11 นิ้ว ในเดือนธันวาคม ปี 1913 เขาประดิษฐ์สิ่งที่มีลักษณะคล้ายซิป โดยใช้ชื่อว่า "Hookless Fastener No. 1"  ต่อมาจึงประดิษฐ์อุปกรณ์ที่มีความทันสมัยยิ่งขึ้น และกลายเป็นต้นแบบของซิปที่ใช้ในปัจจุบัน ที่ใช้ชื่อว่า "Hookless No. 2"





  • สำหรับชื่อ " Zipper " เป็นชื่อที่ตั้งโดย บี.เอฟ. กูดริช ( B.F. Goodrich ) ในปี ค.ศ. 1923 เป็นชื่อตั้งเลียนเสียงการเคลื่อนไหวขณะที่ซิปถูกรูดให้ทำงานเปิดหรือปิดซิป แต่เดิมเขาใช้ซิปกับรองเท้าบูทและกระเป๋าสำหรับเก็บยาสูบ ซึ่งกว่าจะมีการใช้ซิปกับเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม ก็กินเวลานานกว่า 20 ปีต่อมา  และในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซิปก็ได้กลายเป็นหนึ่งในส่วนประกอบสำคัญของการผลิตเสื้อผ้าและกางเกง.......



  • "เมกาฯชอบคิด
  • ญี่ปุ่นชอบทำ
  • จีนชอบก๊อป


  • คนไทยชอบแบน"


จากบทความของ i am ดำพระราม2


LOUIS VUITTON STORY


  • กำเหนิด Louis Vuitton

       ลักษณะของโลโก้ LV อักษรเพียง 2 ตัวที่กลายเป็นทรัพย์มูลค่าสูงติดอันดับโลกติดต่อกันอย่างต่อเนื่อง เราต้องย้อนกลับไปเมื่อ 152 ปีก่อน ต้นตำนานแบรนด์หรูของ Louise Vuitton แบรนด์ที่ใช้ชื่อตัวเองเป็นชื่อสินค้า สิ่งนี้เริ่มจากธุรกิจครอบครัวเล็กๆ ผลิตกระเป๋าเดินทาง (trunk) แต่สิ่งที่ทำให้ trunk ที่มีโลโก้ LV แตกต่างจนดูพรีเมียมนั้นก็คือ elegance, creativity, innovation และ tradition อันได้แรงบันดาลใจจาก “Art of Travel” ที่มีจิตวิญญาณของผู้ตัดเย็บมันแฝงอยู่ในกระเป๋า LV ทุกใบ


       ในยุคต้น LV trunk ได้รับความนิยมมาก เพราะนอกจากคุณภาพดี ทนทาน น้ำหนักเบา และดีไซน์สวย ความเป็นนวัตกรรมที่วิวัฒนาการอยู่เสมอก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญ Louis Vuitton พัฒนากระเป๋าตามรูปแบบการเดินทางใหม่ๆ ที่เข้ามามีอิทธิพลต่อไลฟ์สไตล์คนแต่ละยุคอยู่เสมอ จากกระเป๋าไม้ขนาดใหญ่ในยุคที่คนเดินทางด้วยรถไฟ ไปสู่กระเป๋า canvas กันน้ำขนาดเบาลงเมื่อคนเริ่มเดินทางทางเรือ จนถึงยุคเครื่องบินและรถยนต์ จาก trunk ใบใหญ่ก็เล็กลงเพื่อฟิตกับช่องเก็บกระเป๋าบนเครื่องและในรถ ในสมัยนั้นกระเป๋าเดินทางจะเป็นทรงโดมเสียเป็นส่วนใหญ่ ด้วยเหตุที่มันซ้อนทับกันไม่ได้ แกะกะเวลาขนส่ง แต่หลุยส์ ได้เปลี่ยนรูปลักษณ์มันไปอย่างสิ้นเชิง ทำเป็นทรงกล่อง มันวางซ้อนทับกับได้อย่างแข็งแรง และ เหลือเชื่อ มองดูหรูหรา มีระดับ


        นอกจากนี้ นวัตกรรมอย่างเช่น know-how หรือเทคนิคที่ Louis Vuitton คิดค้นนำมาปรับปรุงกระเป๋าอยู่ตลอดเวลา ก็เป็นอีกสิ่งที่ทำให้สินค้าได้รับยกย่องทางด้านคุณภาพ เช่น ระบบล็อกที่ทำให้ LV ได้ชื่อว่าเป็นสุดยอด security bag กระเป๋าทุกใบจะมี registered key ที่ทำขึ้นมาเพื่อใช้ได้กับกระเป๋าใบเดียว แต่ถ้าลูกค้าซื้อกระเป๋า LV เพิ่มและต้องการใช้กุญแจเดียว บริษัทก็จะ unified รหัสให้ใช้ได้กับกระเป๋าใหม่ และทุกข้อมูลจะถูกบันทึกอย่างถาวร ไม่ว่าจะนานเท่าไรข้อมูลก็ยังอยู่ และอัพเดตทุกครั้งที่ลูกค้าติดต่อกับร้านหรือบริษัท หากลูกค้าทำกุญแจหาย บริษัทจะออกกุญแจใหม่ส่งให้ทันทีที่ตรวจสอบความเป็นเจ้าของกับฐานข้อมูลเรียบร้อยแล้ว




ปัจจุบัน สินค้าหรูในแบรนด์ LV ไม่ได้มีแค่ผลิตภัณฑ์กระเป๋าและ accessories ที่เกี่ยวกับกระเป๋าเท่านั้น แต่ยังขยายไลน์ไปทำรองเท้าหนัง เสื้อผ้าสำเร็จรูป นาฬิกา และเครื่องประดับจิวเวลรี่ อีกด้วย แต่สินค้าทุกไลน์ก็ยังคงความพรีเมียม ทั้งนี้ คงไม่ใช่เพียงเพราะความประณีตสวยงามและคุณภาพอย่างเดียว แต่อีกส่วนสำคัญคือ ระบบควบคุมอิมเมจที่เข้มแข็ง ดังที่กลุ่ม LVMH บอกไว้ในหน้าเปิดเว็บไซต์บริษัทว่า

ชื่อเสียงทุกวันนี้เริ่มจากสินค้าที่มีคุณภาพดีที่สุด ส่วน Brand Power ก็มาจาก heritage & tradition ของแบรนด์ที่สะสมมานานจนเป็นสินทรัพย์ที่ประเมินค่าไม่ได้ วันนี้เราจึงต้องควบคุมทุกรายละเอียดอย่างเข้มข้น เพื่อรักษาอิมเมจของแบรนด์เอาไว้




ผ่ากลยุทธ์รักษาความพรีเมียมของ LV

กระบวนการทั้งหมด ตั้งแต่การผลิตสินค้า เรื่อยไปจนถึงการจัดจำหน่ายและรีเทล ทุกอย่างจะถูกควบคุมโดยบริษัทแม่” Kyojiro Hata อดีตที่ปรึกษาเฉพาะกิจที่ไปร่วมบุกเบิกสร้างแบรนด์ LV ในญี่ปุ่น เขียนในหนังสือ Louis Vuitton Japan : the building of luxury เช่น กระทั่งกระดาษห่อของขวัญที่จะนำมาใช้กับสินค้าแบรนด์ LV ทุกชิ้นจะต้องมาจากบริษัทผู้ผลิตที่บริษัทแม่ระบุหรืออนุมัติแล้วเท่านั้น กระทั่งปริมาณสินค้าที่จัดจำหน่ายในแต่ละประเทศหรือแต่ละร้านก็จะถูกจำกัดโดยบริษัทแม่ ทั้งนี้เพื่อสร้างความเอ็กคลูซีฟให้แบรนด์ในประเทศนั้นๆ

บริษัทแม่จะเป็นผู้ควบคุมดูแลภาพลักษณ์ทั้งหมดของแบรนด์แต่เพียงผู้เดียว” Kyojiro ยืนยันบ่อยครั้ง โฆษณาและประชาสัมพันธ์อื่นใดที่ไม่ได้มาจากบริษัทแม่เป็นผู้ส่งให้ จะต้องขออนุญาตและรอจนได้รับอนุมัติก่อนเท่านั้น ซึ่งนโยบายนี้ไม่เว้นกระทั่ง การลงภาพสินค้าในแค็ตตาล็อกสำหรับสมาชิกของห้าง รวมถึงการให้สัมภาษณ์อื่นใดก็จะทำไม่ได้หากไม่ได้รับอนุญาต ทุกๆ องค์ประกอบที่เป็นการสื่อสารออกไปไม่ว่าจะทางใด เราถือว่าพูดออกมาจากแบรนด์ ดังนั้นทุกข้อความต้องเช็กให้แน่ใจว่าถูกต้องก่อนคำอธิบายนี้ปรากฏที่หน้าเว็บของ LVMH

สำหรับการโฆษณาและประชาสัมพันธ์ที่แบรนด์ LV ทำนั้นมักจะยึดหลักการส่ง message เพื่อโปรโมตความเข้าใจในตัวแบรนด์ Heritage & Tradition และตำนานความเป็น craftsmanship รวมถึงที่มาอมตะความหรูของแบรนด์มากกว่ารายละเอียดในตัวสินค้า ยกเว้นการออกคอลเลกชั่นใหม่ที่จะมีการให้ข้อมูลบ้างแต่ไม่มาก โดยจะให้คนเข้าไปหาดูเพิ่มเติมได้ในเว็บ vuitton.com แทน

นอกจากสื่อสารผ่านทาง Public Media แล้ว บริษัทยังให้ความสำคัญกับสื่อ ณ จุดขาย มากไม่แพ้กัน ดังจะเห็นกระเป๋า trunk ดิสเพลย์อยู่ในทุกช็อป หรือในช็อปสำคัญก็จะมีกระเป๋า trunk ของ LV ขนาดใหญ่เท่าตึก 2-3 ชั้นอยู่หน้าช้อป ทั้งนี้ก็เพื่อสื่อสารถึงตำนานความเป็น craftsmanship ถึงเป็น Value และ Heritage ของแบรนด์ LV “ร้านเป็นจุดที่ลูกค้าจะสัมผัสและมีประสบการณ์กับแบรนด์โดยตรง เราจึงควรใช้ร้านสื่อสารถึง brand spirit ของเรา

การสื่อสารผ่านร้านค้าให้มีประสิทธิผลนั้น ต้องใส่ใจทุกรายละเอียด ตั้งแต่ทำเล layout ดิสเพลย์ ฯลฯ บูติก LV บนถนน Champs-Elysees ที่เพิ่งปรับโฉมเสร็จซึ่งเป็น Luxury Boutique ที่ใหญ่ที่สุดตอนนี้ สะท้อนความเป็นผู้นำแฟชั่นของ LV ได้ดี ขณะที่ภายในจะมีร้านหนังสือเกี่ยวกับการเดินทางและมีนิทรรศการศิลปะ อันเป็นแรงบันดาลใจของกระเป๋า LV มาจนวันนี้ และร้านนี้ยังตกแต่งด้วยตาข่ายลาย Monogram Flower สัญลักษณ์ของแบรนด์ LV พร้อมกับดิสเพลย์สินค้าราวกับพิพิธภัณฑ์ เพื่อสื่อถึงตำนานอันยาวนานของกระเป๋า LV นั่นเอง

UP-Grade with Premium Service

Kyojiro ให้ข้อมูลในหนังสือถึงกลยุทธ์สร้างความพรีเมียมที่สำคัญของแบรนด์ LV อีกประการคือ คุณภาพบริการ โดยเขาบอกว่า Louis Vuitton มีความเชื่อเกี่ยวกับหลักการบริการ คือ จงจำไว้ว่า ความคาดหวังของลูกค้าที่มีต่อแบรนด์สูง คือเหตุผลที่จะทำให้ลูกค้ากลับมาหาเราอีกครั้ง และยิ่งลูกค้าค้นพบคุณค่าในแบรนด์เรามาก เขาก็จะยิ่งคาดหวังสูงขึ้น ดังนั้นเราต้องแสดงให้ลูกค้าเห็นคุณค่าในแบรนด์เรา

คอนเซ็ปต์ดังกล่าวกลายเป็นนโยบาย “Nevery Say No” ซึ่งเป็นคำขวัญของแผนกจัดซ่อมของบริษัท เจ้าหน้าที่แผนกจัดซ่อมไม่อนุญาตให้ปฏิเสธลูกค้าด้วยคำว่า ซ่อมไม่ได้ไม่ว่ากรณีใด หรือบริการเสริมอย่าง Concierge Service ที่เลียนแบบจากบริการในโรงแรม 5 ดาว ที่ให้บริการข้อมูลสินค้า จนถึงข้อมูลร้านอาหาร โรงหนัง แหล่งช้อปปิ้งในเมืองนั้น รวมถึงบริการจองโรงแรม เรียกแท็กซี่ จองร้านอาหาร ฯลฯ

การให้ความสำคัญในคุณภาพบริการอีกกรณีก็คือ การตั้งแผนก Customer Information Service และจัดตั้งคณะกรรมการด้านบริการ (Service Committee) ขึ้นมาเพื่อดูแลรับผิดชอบในการนำทุกคำติชมหรือคำร้องเรียนของลูกค้ามาดำเนินการแก้ไขปฏิบัติ รวมถึงบริการหลังการขาย พร้อมกับการติดตั้งระบบ toll free ซึ่งมีมากกว่า 550,000 สายต่อปี ที่โทรเข้ามาติชม

CRM as a More Powerful Tool

สมมติว่า เรารู้ว่าลูกค้าซื้อสินค้าอะไรบ้างใน 1 ปีที่ผ่านมา เราจะรู้ว่าอะไรที่ลูกค้าคนนี้น่าจะชอบ เช่น ถ้าลูกค้านิยมซื้อกระเป๋า LV รุ่น Monogram Graffiti ก็แปลว่าเขายังอาจจะสนใจสินค้าเสื้อผ้าสำเร็จรูปของเราด้วย และถ้ามีกระเป๋ารุ่นนี้หรือเสื้อผ้าคอลเลกชั่นใหม่ออก เราก็ควรส่งข้อมูลให้เขา

เป็นคำอธิบายง่ายๆ สั้นๆ เกี่ยวกับการประยุกต์ใช้ CRM ที่ Louis Vuitton ใช้อยู่ในปัจจุบัน ซึ่งข้อมูลที่จะได้มานั้น Kyojiro แนะว่า มาจากทุกๆ contact ที่เกิดขึ้นระหว่างบริษัทกับลูกค้าคนหนึ่ง เป็น one-on-one relationship ทั้งนี้ข้อมูลที่ได้ก็เพื่อนำมาพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทกับลูกค้าให้มีความเป็นส่วนตัวยิ่งขึ้น และทำให้บริษัทเข้าใจความต้องการและเป้าหมายในการซื้อสินค้าของลูกค้าลึกขึ้น

ทุกวันนี้ Louis Vuitton ให้ความสำคัญกับอินเทอร์เน็ตค่อนข้างมาก เพราะนอกจากจะช่วยเรื่องระบบ CRM ที่ช่วยสร้างและสานสายสัมพันธ์แบบส่วนตัวกับลูกค้าแต่ละคนในปริมาณมาก ยังเป็นแหล่งสร้างอิมเมจ และเล่าเรื่องราวหรือนำเสนอค่านิยมของแบรนด์ไปสู่คนจำนวนมหาศาลอีกด้วย เพราะคนที่เข้ามาเว็บไซต์นี้ หลายคนคือคนที่ชื่นชม ปรารถนา และตั้งใจจะเป็นลูกค้าในอนาคต

ทั้งนี้ หน้าแรกของเว็บไซต์ของ Louis Vuitton มีภาษาให้เลือกถึง 5 ภาษา คือ ภาษาอังกฤษ (อเมริกา) ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น จีน และเกาหลี เพื่อสร้างสัมพันธ์อันดีอย่างเป็นพิเศษกับลูกค้า 5 ชนชาตินั้น เพราะเป็นกลุ่มชนชาติที่มีแนวโน้มจะเป็นลูกค้าสำคัญของบริษัท เพิ่มขึ้นเรื่อยโดยเฉพาะจีนและเกาหลี


Did you know?

1. เหตุที่กระเป๋าค้าของ LV ได้รับยกย่องมาคุณภาพดีที่สุด เพราะระบบ QC ที่มีประสิทธิภาพ เช่น การทดสอบคุณภาพกระเป๋าเดินทางขนาดเล็ก-กลาง บริษัท LV ใช้วิธีใส่ของหนัก 3.5 กก. ในกระเป๋า จากนั้นใช้เครื่องยกแล้วปล่อยลงมาที่พื้น ทำอย่างนี้เป็นเวลา 4 วันเต็ม ส่วนกระเป๋าสะพายจะใช้วิธีฉายแสงอัลตราไวโอเลต เพื่อดูความทนทานของกระเป๋า พร้อมทั้งทดสอบรูดซิปขึ้นลง 5 พันครั้ง เป็นต้น
2. Monogram ลาย Cherry Blossom ของ LV เป็นผลงานที่บริษัทร่วมกับทีมของทาคาชิ มุรากามิ ศิลปินชาวญี่ปุ่น ร่วมกันพัฒนาขึ้นมา ซึ่งเป็นรุ่นที่มีการใช้สีสันสดใสเหมาะกับชื่อรุ่น และทำขอบกระเป๋าเป็นโลหะ รุ่นนี้ทำรายได้ถึง 300 ล้านเหรียญสหรัฐ ต่อปี
3. แบรนด์ Marc Jacob เป็น luxury brand น้องใหม่ในกลุ่ม LVMH ที่ได้รับถ่ายโอนมรดกและวัฒนธรรมทางคอนเซ็ปต์มาจาก Louis Vuitton เต็มๆ เพียงแต่จะปรับลุคให้ดูทันสมัยกว่าจับกลุ่มลูกค้าอายุอ่อนกว่า
4. เว็บไซต์ที่ได้รับอนุญาตจาก Louis Vuitton ให้ขายสินค้าแบรนด์ LV โดยผ่านการรับรองของบริษัท ก็คือ www.eluxury.com ขณะที่เว็บ bagnstyle ก็เป็นอีกเว็บที่เปิดมาเพื่อขายกระเป๋า LV หลากหลายรุ่น ส่วนเว็บที่มีคนนิยมไปซื้อขายกระเป๋า LV มากที่สุดก็คือ ebay (แต่บ่อยครั้งที่เป็นของปลอมจนเจ้าหน้าที่ต้องโพสต์ tip ในการดูกระเป๋า LV ของจริง)

Tips : is Your Louis Vuitton Bag the Authentic One?

เพราะกระเป๋า LV ได้รับความนิยมสูงมาก จนกลายเป็นสินค้าติดอันดับต้นที่มักถูกเลียนแบบและพบของปลอมบ่อยที่สุด และเหมือนที่สุด (ปลอมเหมือนจนกระทั่งใบเสร็จและแพ็กเกจจิ้ง) ต่อไปนี้จะเป็นทิปเล็กๆ น้อยๆ เป็นตัวอย่างในการป้องกันกระเป๋า LV ปลอม (ข้อมูลจาก ebay)

1. ต้องรู้ว่า Monogram (ลายที่เป็นสัญลักษณ์ของ LV) จะถูกวางตรงไหน เพราะ LV จะใส่ใจในวิธีการวาง Monogram เหล่านี้มาก ฉะนั้นเพื่อความปลอดภัย อาจไปดูจากของเพื่อนที่ซื้อของจริงมาก่อน

2. ดูที่ฝีเข็ม การเย็บและช่องว่างต้องสม่ำเสมอ เพราะ LV จะระวังเรื่องนี้มาก เช่น ที่หูหิ้วสองข้างของกระเป๋าหลุยส์ฯ รุ่น Speedy มักจะมี 5 ฝีเข็ม เป็นต้น ถ้ากระเป๋ารุ่นและแบบเดียวกันจำนวนฝีเข็มจะเท่ากัน (แต่ต้องดูปีผลิตด้วย และถ้าผลิตโดยบริษัท French Company รายละเอียดก็จะต่างไป)

3. กระเป๋า LV ในยุคหลังอาจไม่ได้ Made in France เสมอไป เพราะปัจจุบัน มีกระเป๋า LV บางส่วนถูกผลิตในอเมริกา สเปน เยอรมนี และอิตาลี

4. สัญลักษณ์ LV ต้องหัวตั้งขึ้น แต่ถ้าหากเป็นรุ่น Speedy, Keepalls, Papillons และรุ่นที่มีสไตล์คล้ายกัน บางทีอาจพบกระเป๋าอีกด้านอาจพบสัญลักษณ์ LV กลับหัวได้ ทั้งนี้เพราะเป็นการใช้ canvas ผืนเดียวกันทั้งใบ โดยไม่มีการเย็บ แต่ถ้ารุ่นใดที่มีการใช้ผ้าใบมากกว่า 1 ผืนมาเย็บติดกัน สัญลักษณ์ LV ต้องหัวตั้ง เท่านั้น

5. หลุยส์เริ่มทำ date code หลังปี 1980 ดังนั้น กระเป๋า LV จะมี date code เพื่อบอกว่า กระเป๋านี้ผลิตจากที่ไหนและอายุเท่าไร โดยอักษรภาษาอังกฤษ 2 ตัวหน้าจะบอกว่าผลิตประเทศใด และเป็นไปได้ตัวเลขอาจซ้ำได้ในกระเป๋ารุ่นอื่นที่ผลิตในเวลาและสถานที่เดียวกัน โดยรุ่นที่ผลิตหลังปี ค.ศ. 1990 รหัสจะประกอบด้วยตัวอักษร 2 ตัว และตัวเลข 4 ตัว ซึ่งส่วนมาก date code จะพบได้ในไม่กี่แห่ง และในรุ่นเดียวกันก็จะอยู่ที่เดียวกันทุกใบ เช่น ที่ D-ring (ห่วงตรงหูหิ้ว)

6. ถุงกันฝุ่น (dust bag) ของกระเป๋า LV ก่อนปี 2547 จะทำจากผ้าฝ้าย 100 % เนื้อนุ่ม และมีป้ายหรือสัญลักษณ์หรือชื่อแบรนด์เล็กๆ เท่านั้น แต่หลังปี 2547 ถุงจะทำจากลินินหนาโทนสีเหลือง และเขียนว่า Louis Vuitton ที่สำคัญ กระเป๋า LV ของจริงจะไม่มีการใส่กระดาษหรือทิชชูดันทรงกระเป๋าไว้อย่างเด็ดขาด

7. เพื่อเป็นการป้องกันถูกหลอก ควรจะต้องรู้จักกับนโยบายของ Louis Vuitton ไว้บ้าง เช่น
- กระเป๋า LV ของจริงจะไม่มีการลดราคา หรือ Sales period ใดๆ
- ไม่มีการขายลดราคาสินค้ามีตำหนิจากโรงงานแน่นอน เพราะสินค้ามีตำหนิจะถูกเรียกคืนเอากลับไปทำลายทั้งหมด
- กระเป๋า LV ไม่มีขายส่ง ฉะนั้น การซื้อกระเป๋าแบบเดียวกันหลายใบออกจากบูติกช็อปของ Louis Vuitton ไม่มีทางทำได้ (เพราะที่ช็อปเองก็ถูกจำกัดจำนวนสินค้ามาจากบริษัทแม่ เหมือนกัน) อย่างในไทย จะได้ออเดอร์แค่เพียง จังหวัดหล่ะ 5 ใบเท่านั้น ในแต่หล่ะรุ่น
- กระเป๋า LV แท้จะไม่มีการห้อยหรือติด tag มากับกระเป๋า แต่จะเก็บอย่างดีในช่องกระเป๋า (pocket) หรือมากับซองใบเสร็จ

8. ทางที่ดี เพื่อไม่ให้โดนหลอก ควรจะต้องรู้จักไปถึงผู้ขาย หรือร้านค้านั้นๆ แต่ปลอดภัยที่สุดคือ ซื้อในบูติกของ LV หรือห้างไฮเอนด์ ที่มีช็อปของ LV หรือเว็บ eluxury จะปลอดภัยที่สุด
ขอให้ช้อปของในร้านให้สนุก นะครับ ขอบคุณครับ
ขอบคุณบทความดีๆ จาก Mr.Brandname  by I am ดำพระราม2.